วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การนำข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์

                                             เทคนิคและวิธีการนำเข้าข้อมูล
การนำเข้า ข้อมูล (Input data) เป็นกระบวนการบันทึกข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ การสร้างฐานข้อมูลที่ละเอียด ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ซึ่งจำ เป็นต้องมีการประเมินคุณภาพข้อมูล ที่จะนำเข้าสู่ระบบในเรื่องแหล่งที่มาของข้อมูล วิธีการสำรวจข้อมูลมาตราส่วนของแผนที่ ความถูกต้อง ความละเอียด พื้นที่ที่ข้อมูลครอบคลุมถึงและปีที่จัดทำข้อมูล เพื่อประเมินคุณภาพ และคักเลือกข้อมูลที่จะนำเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล
                                             
                           หน่วยความจำบนอุปกรณ์แสดงผลภาพ,เสียง,ปริ้นเตอร์
ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
          ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่หน่วยความจำหลัก ปัจจุบันอุปกรณ์มากมายแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
          - Keyboard (คีย์บอร์ด)
          Keyboard เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการนำข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นปุ่มตัวอักษรเหมือนปุ่มเครื่องพิมพ์ดีด เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยน เป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษร ตัวพิมพ์ใหญ่ และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์
1.Keyboard

          - Mouse (เมาส์)
          Mouse เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลอย่างหนึ่งแต่ที่เห็นการทำงาน โดยทั่วไปจะเป็นตัวที่ใช้ควบคุมลูกศรให้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่างๆ บนจอภาพ เหมาะสำหรับใช้งานเมื่อต้องเลือก หรือเลื่อนวัตถุต่างๆ บนจอ Mouse ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ 2 แบบ ได้แก่ 9 Pin, Serial Port และ PS/2 (Personal System Version2)
2.Mouse

          - Scanner (สแกนเนอร์)
          สแกนเนอร์ คือ อุปกรณ์จับภาพและเปลี่ยนแปลงภาพ จากรูปแบบของแอนาลอกเป็นดิจิตอล ซึ่งคอมพิวเตอร์ สามารถแสดง, เรียบเรียง, เก็บรักษาและผลิตออกมาได้ ภาพนั้นอาจจะเป็นรูปถ่าย, ข้อความ, ภาพวาด หรือแม้แต่วัตถุสามมิติ
3.Scanner

          - Webcam (เว็บแคม)
          เว็บแคมหรือชื่อเรียกเต็มๆว่า Web Camera (เว็บแคเมรา) แต่ในบางครั้งก็มีคนเรียกว่า Video Camera หรือ Video Conference เว็บแคมเป็นอุปกรณ์อินพุตที่ สามารถจับภาพเคลื่อนไหวของเราไปปรากฏในหน้าจอมอนิเตอร์ และสามารถส่งภาพเคลื่อนไหวนี้ผ่านระบบเครือข่ายเพื่อให้คนอีกฟากหนึ่งสามารถ เห็นตัวเราเคลื่อนไหว ได้เหมือนอยู่ต่อหน้า ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์อีกตัวหนึ่ง และมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
4.Webcam

          - Microphone (ไมโครโฟน)
          ไมโครโฟน คือ อุปกรณ์รับเสียงแล้วทำการแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อประมวลผลในเครื่องขยายเสียงหรืออุปกรณ์ผสมเสียงอื่นๆ ไมโครโฟนจะประกอบด้วยขดลวดและแม่เหล็กเป็นหลัก เมื่อเสียงกระทบตัวรับในไมโครโฟนจะทำให้ขดลวดสั่นสะเทือนตัดกับสนามแม่เหล็ก จึงทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการทำงานตรงข้ามกับลำโพง โดยทั่วไปไมโครโฟนใช้รับเสียงพูดหรือเสียงร้องเพลง
5.Microphone

          - Touch screen (ทัชสกรีน)
          ทัชสกรีน คือ จอภาพแบบสัมผัส ซึ่งเป็นจอภาพแบบพิเศษที่เป็นทั้งอุปกรณ์แสดงผลข้อมูล และอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล มักนำไปใช้กับธุรกิจร้านค้า โรงแรม สายการบิน พิพิธภัณฑ์ สถานบันเทิงคาราโอเกะ รวมถึงธุรกิจธนาคาร เช่น เครื่องเอทีเอ็ม ซึ่งผู้ใช้งานเพียงแต่นำนิ้วหรือใช้แท่งคล้ายดินสอหรือปากกา แตะ/กดลงบนตำแหน่งที่ต้องการบนจอภาพ
6.Touch-Screen

2.ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit)
          ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่จะขาดไม่ได้เลยคือหน่วยประมวลผลกลาง หรือ ซีพียู เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ ที่มีความสำคัญมากที่สุดของฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาทางอุปกรณ์อินพุต ตามชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน ส่วนประกอบของหน่วยประมวลผลกลางนั้นประกอบไปด้วย
          1. หน่วยคำนวณ และตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU)
          2. หน่วยควบคุม (Control Unit)
          3. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
7.CPU

3.ส่วนแสดงผล (Output Unit)
          หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์ โดยมากจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
          3.1) หน่วยแสดงผลชั่วคราว (Soft Copy) หมายถึง การแสดงผลออกมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้น แต่เมื่อเลิกการทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไป ไม่เหลือเป็นวัตถุให้เก็บได้ ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์นั้นก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บ ข้อมูลสำรอง เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในภายหลัง ได้แก่
          - จอภาพ (Monitor)
8.Monitor

          - อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
9.Projector

          - อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
10.Speaker

          3.2) หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) หมายถึง การแสดงผลที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ หรือให้ผู้ร่วมงานดูในที่ใด ๆ ก็ได้ อุปกรณ์ที่ใช้เช่น
          - เครื่องพิมพ์ (Printer)
11.Printer

          - เครื่องพลอตเตอร์ (Plotter)
12.Plotter

4.หน่วยความจำ (Memory Unit)
          หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งออกหน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และรับผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล และเตรียมส่งออกหน่วยแสดงผลข้อมูลต่อไป ซึ่งหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
          4.1) หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)
          เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
                   4.1.1) หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM) เป็น หน่วยความจำแบบสารกึ่งตัวนำชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถบันทึกซ้ำได้ (อย่างง่ายๆ) เป็นความจำที่ซอฟต์แวร์หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับไมโครโพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจำประเภทนี้แม้ไม่มีไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากน่วยความจำ (nonvolatile)
           โดยทั่วไปจะใช้เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีการแก้ไขอีกแล้วเช่น เก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input output System : BIOS) หรือเฟิร์มแวร์ ที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ใช้เก็บโปรแกรมการทำงานสำหรับเครื่องคิดเลข ใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ทำงานเฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมวงจร ควบคุมในเครื่องซักผ้า เป็นต้น
13.Rom-Bios

                   4.1.2) หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM) เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว
           ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น
14.Ram

          4.2) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit)
          สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท ดังนี้
                   4.2.1) แบบจานแม่เหล็ก เป็นอุปกรณ์สำรองข้อมูลที่เป็นลักษณะของจานแม่เหล็กสำหรับบันทึกข้อมูลไว้ ภายใน Disk ได้รับความนิยมและใช้งานมานานพอสมควรซึ่งเป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ใช้หลักๆ เลยในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์
15.Harddisk

                   4.2.2) แบบแสง เป็นสื่อเก็บข้อมูลสำรองที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยใช้หลักการทำงานของแสง การจัดการข้อมูลจะคล้ายกับแผ่นจานแม่เหล็ก ต่างกันที่การแบ่งจะเป็นรูปก้นหอย และเริ่มเก็บบันทึกข้อมูลจากส่วนด้านในออกมาด้านนอก ที่เป็นที่นิยมและรู้จักกันดี เช่น CD , DVD
16.CD-DVD

                   4.2.3) แบบเทป เป็นสื่อเก็บข้อมูลที่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมากและเข้าถึงข้อมูลแบบ เรียงลำดับต่อเนื่องกันไป มีการผลิตขึ้นมาหลากหลายขนาดแตกต่างกันไป เช่น DAT และ QIC เป็นต้นปัจจุบันไม่ค่อยถือเป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
17.DAT-QIC

                   4.2.4) แบบอื่นๆ เป็นสื่อเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่พบได้ทั่วไปในปัจจุบัน มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น Flash Drive, Thumb Drive , Handy Drive เป็นต้น อีกชนิดคือ Memory Card เพื่อใช้เก็บข้อมูลในกล้องดิจิตอลแบบพกพา


18.Flash-Drive
    

                     วิวัฒนาการของจอภาพจนมาสู่เทคโนโลยี LED

       ปัจจุบันได้มีการพัฒนาส่วนแสดงผลที่เรียกกันว่าจอภาพ ให้มีเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้เกิดข้อดีขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นทำให้ภาพที่ออกมาชัดเจนขึ้น ประหยัดพลังงานมาขึ้น หรือแม้แต่ทำให้การมองภาพในมุมต่างๆได้ดีอีกด้วย มาดูกันว่าสมัยก่อนจอภาพใช้กันแบบไหน
       นี่คือ CRT Monitor เป็นจอภาพที่ใช้หลอดภาพให้เกิดการแสดงผล จะมีขนาดที่ใหญ่ ทำให้เปลืองพื้นที่ใหนการจัดวาง หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาจอภาพให้เป็นแบบ LCD ดูภาพประกอบ


       จะเห็นได้ว่า LCD จะมีความบางมากกว่าจอแบบ CRT อย่างเห็นได้ชัด LCD (LCD: Liquid Crystal Display) ในการทำให้เกิดภาพขึ้นมานั้น จะใช้หลักการทำให้ผลึกเหลวที่บรรจุอยู่ในพาแนลของจอภาพ ที่อยู่ด้านหน้า ถ้าเราสังเกตุดูเวลาเราเอานิ้วไปจิ้มที่จอภาพจะเห็นเหมือนมีน้ำอยู่นั่นก็ คือผลึกเหลว แล้วจะใช้แสงสีขาวยิงผ่านด้านหลังของพาเนลหรือที่เรียกว่า Blacklit แสงสีขาวที่ว่านี้ก็คือแสงที่ได้นั้นมาจากหลอดฟลูออเรสเซนแบบเย็น (CCFL: Cold Cathode) เหตุที่ต้องใช้แสงยิงผ่านทางด้านหลังของพาเนล ก็เนื่องจากจอภาพ LCD ไม่สามารถเปล่งแสงออกมาได้เอง จึงต้องอาศัยการฉายแสงมาจากทางด้านหลังนั่นเอง
       มาถึงยุคการปรับปรุงใหม่เนื่องจากแบบ LCD พาเนลผลึกไม่สามารถเปล่งแส่งออกมาได้ จึงได้เกิดการปรับปรุงจอภาพใหม่ที่เรียกว่า LED (Light-emitting diode) หรือที่เรียกว่าไดโอดเปล่งแสงเอามาเรียงตัวกันเพื่อเป็นตัวกำเนิดแสงแทนนั่น เอง ซึ่งการใช้ LED นั้นจะประกอบด้วยหลอด LED ถึงสามสีด้วยกันได้แก่  แม่สีสามสีคือ แดง เขียว น้ำเงิน (RGB)
       ข้อดีของการเปลี่ยนไปใช้ Blacklit เป็นหลอด LED มันจะช่วยเพิ่ม Contrast ให้กับภาพที่แสดงผลออกมา แสดงรายละเอียดต่างๆ ของภาพได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในฉากที่มีภาพมืดหรือฉากที่มีระดับความสว่างของวัตถุอยู่หลายระดับ ช่วยให้แสดงผลสีดำได้ลึกและดูมีมิติมากขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขข้อด้วยของจอภาพที่เป็น LCD ได้ดีมากขึ้น และนอกจากนั้นภาพที่ได้จากแอลอีดียังดูมีความสมจริงมาขึ้น เป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากข้อดีในเรื่องของภาพแล้วยังมีข้อดีคือบางมากขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้นอีกด้วย
       สำหรับการเลือกซื้อก็ให้คำนึงถึงงบประมาณที่มีก็แล้วกันครับ ซึ่งถ้าจะพูดถึงจอ LED ณ.ตอนนี้ก็ราคาพอที่จะจับจองเป็นเจ้าของได้ แต่ถ้าไปเดินตามร้าน IT เดี๋ยวนี้ โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆหันไปใช้จอภาพแบบ LED แล้ว ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่หลักหมื่นต้นๆไปจนถึงหลักหลายหมื่นกันเลยทีเดียว ดังนั้นผู้อ่านท่านใดต้องการซื้อโน๊ตบุ๊กใหม่ซักเครื่องคงต้องมาหาแบบที่ใช้ หน้าจอแสดงผลแบบ LED มาใช้กันเลยทีเดียว

 วิวัฒนาการของลำโพง

วิวัฒนาการของลำโพงมักจะเคลื่อนตัวไปอย่าง ช้า ๆ เสมือนไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรมากนัก เหตุผลหนึ่งคงเป็นข้อจำกัดของลำโพง ซึ่งมีองค์ประกอบไม่มากมายอะไร ยิ่งเปรียบเทียบกับอุปกรณ์เครื่องเสียงอื่นๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าลำโพง ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนมากนัก
แต่ อีกแง่หนึ่ง, หลายปีที่ผ่านมา มีลำโพงหน้าใหม่โคจรเข้ามาในแวดวงนักเล่นฯ อยู่บ่อยๆ บ้างมาแล้วก็แค่มาคือมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ปรากฏเนื้องานที่สืบสานกันต่อ บ้างก็มาแล้วตั้งหลักปักฐานขนานนามชื่อเสียงของตัวเองเป็นที่จดจำของนัก เล่นฯ ไปอีกนาน ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนแสดงให้เห็นในส่วนลึกว่า แท้ที่จริง ลำโพงมีวิวัฒน์ในตัวมันเอง เพียงแต่พัฒนาการนั้นๆ ได้สำแดงออกมาดีเด่นแค่ไหน เงือนไขต่างๆ ที่จะเอื้อให้มันถ่ายทอดพัฒนาการเหล่านั้น สมบูรณ์แค่ไหน
อย่างไรก็ตาม, ไม่มีใครปฏิเสธหน้าที่ที่สำคัญของลำโพงได้เลย แล้วดูเหมือนลำโพงจะเป็นตัวบ่งบอกสรรพสิ่งในชุดเครื่องเสียงเป็นท้ายที่สุด เทคโนโลยีการออกแบบและผลิตลำโพงจะก้าวหน้าไปอย่างไรก็เถอะ ที่แน่แท้ นักเล่นเครื่องเสียงย่อมต้องอาศัยความพิถีพิถันในการเลือกหาอยู่ดี อย่างน้อยก็ให้ตรงกับรสนิยมและเหมาะควรแก่ราคาค่าตัวที่จ่ายออกไป
เมื่อเกริ่นนำเช่นนั้น แล้ว แน่นอนครับ, ลำโพงหน้าใหม่ที่เพิ่งจะคุ้นชื่อคุ้นเสียงกันเมื่อไม่กี่ปีในบ้านเรานี่เอง เป็นลำโพงจากฝรั่งเศล ( ถิ่นเดียวกับเครื่องเล่นซีดีชื่อดัง Micromega ) น่าจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในแง่ของความหมายสองสามย่อหน้าข้างต้น โดยเฉพาะแนวทางที่พัฒนาตัวเองออกไปอีกไกล เป็นการยกคุณภาพทั้งหมดจากเดิมๆ ชนิดที่พูดได้ว่า " เห็นหน้าเห็นหลัง " กันเลยทีเดียว นั่นคือลำโพง Trangle
ผมได้แนะนำลำโพงสองทางวางหิ้งของยี่ห้อนี้ไปแล้ว มาคราวนี้เป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด (ลงท้ายด้วยรหัสปีคอศอ) Triangle Antal 202 คือลำโพงตั้งพื้นที่จะได้ลำดับความถัดไป


เช่นที่เกริ่นเอาไว้ หลายๆ ครั้งเรามักจะมองลำโพงแบบเรียบง่ายหรือไม่ก็ตรงข้าม ดูจะเป็นอะไรสักอย่างที่คิดเอาว่า มันจะง่ายต่อการผลิตหรือประกอบลำโพงขึ้นมาสักคู่ แต่หลายคนที่เคยมีประสบการณ์เชิงนี้ ย่อมต้องทราบแก่ใจดีกว่า การออกแบบหรือผลิตลำโพงขึ้นมาสักคู่ให้คุณภาพที่ดีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นที่คิด ทั้งนี้องค์ประกอบหรือรูปลักษณ์ แทบไม่มีส่วนในการบ่งบอกคุณภาพที่แฝงเร้นอยู่ภายในได้เลย
แรกที่ผมเห็นลำโพง Triangle, นี่เป็นลำโพงที่ออกแบบตู้ธรรมสามัญเอามากๆ ทำตู้ง่ายๆ เรียบๆ ไม่มีส่วนใดที่แสดงให้ประจักษ์ถึงความพยายามให้มากเท่าที่ทำได้ (ขออภัย)ลำโพงที่ทำขายกันในตลาดบ้านหม้อ ดูจะมีภาษีดีกว่าด้วยซ้ำไป นั่นถ้ามองกันแต่เพียงภายนอกด้วยสายตา แต่ก็แน่ล่ะครับ นั่นเป็นเพียงความคิดซึ่งไม่มีอะไรจะไปกำหนดความคิดได้ ใครก็คิดได้แล้วก็คิดกันไป แต่ที่สุดแล้ว ลำโพงต้องพิสูจน์ตัวมันเองด้วยการฟังเท่านั้น
Triangle Antal 202 เป็น ลำโพงในตระกูลใหม่ที่พัฒนามาจากตระกูลเดิม ไล่เรียงตั้งแต่รุ่นเล็กวางหิ้งคือ Titus ไต่ระดับขึ้นไปถึงรุ่นสูงสุดในตระกูลนี้คือ Celius ทั้งหมดนี้ลงท้ายด้วยรหัสปีคอศอคือ 202 เป็นนัยแห่งการปรับเปลี่ยนตระกูลเดิมนั่นเอง และรุ่นนี้ก็รองลำดับลงมาจาก Celius เพียงรุ่นเดียว
แม้ตัวตู้ถูกออกแบบเกือบ เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสก็ตาม แต่สัดส่วนของตู้ก็จัดว่าเป็นลำโพงตั้งพื้นที่ค่อนข้างสูง ด้วยจำนวนตัวขับที่จัดเรียงสมมาตรในแนวตั้งบังคับเป็นคอลัมน์ขึ้นไป ความสูงของตู้จากพื้นถึงขอบบน 42.5 นิ้ว มีหน้ากว้าง 8.7 นิ้วและด้านลึก 11.7 นิ้ว ทั้งนี้ลำโพง Triangle Antal 202 ออกแบบเป็นลำโพงตั้งพื้นสามทางสี่ตัวขับ โดยเลือกใช้วูฟเฟอร์สำหรับเสียงทุ้มสองยูนิตขนาด 6 นิ้ว และเสริมด้วยวูฟเฟอร์มิดเรนจ์สำหรับตอบสนองย่านเสียงกลางโดยตรงอีกหนึ่ง ยูนิต ขนาดหน้าตัด 5 นิ้ว ปิดท้ายด้วยทวีตเตอร์โดมโลหะขนาด 1 นิ้ว
ท่อเปิดวางไว้ด้านหน้า ของตู้ช่วงล่างเกือบติดพื้น ซึ่งใกล้กันนั้นมีแผ่นโลหะระบุชื่อลำโพงแผ่นใหญ่ติดเอาไว้เป็นจุดเด่น ในขณะที่ด้านหลังตรงข้ามกับท่อเปิด ให้ขั้วต่อชุบทองอย่างดีสองคู่ สำหรับการเลือกต่อสายลำโพงแบบไบไวร์ หรือเล่นเป็นซิงเกิ้ลไวร์ด้วยตัวจั้มที่ติดมาให้แล้ว
ทีนี้ถ้าจะขมวดปมที่ เริ่มต้นไว้ นั่นคือความเรียบง่ายของตู้ ก็เห็นได้ชัดเจนในวิวัฒน์ของลำโพงยี่ห้อที่ตัวขับหรือไดร์เวอร์ที่เลือกใช้ ทั้งหมดนั่นเอง ทางบริษัทผู้ผลิตเน้นเอาไว้ชัดเจนถึงพัฒนาการที่พยายามเอาดีกับวัสดุตัวขับ แน่นอนว่าต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ มาจนมั่นใจถึงคุณภาพประสิทธิภาพ แล้วมาคัดท้ายด้วยการปรับจูนกันที่พาสซีฟครอสส์โอเวอร์หรือจุดแบ่งความถี่ ซึ่งในแผ่นโปรยของบริษัทก็ระบุไว้ว่า ทุกรุ่นจะเลือกใช้ตัวขับชนิดเดียวกันทั้งหมด
เช่นตัวไดรเวอร์มิดเรนจ์ กรวยหรือไดอะแฟรมผลิตจากสารไฟเบอร์ผสม เลือกใช้ขอบยางหรือเซอราวด์เป็นสารโพลีเมอร์ สำคัญที่กำหนดย่านความถี่เอาไว้ที่ 500-5,000 เฮิร์ตซ เหตุที่สามารถอัพเกรดหรือพัฒนาตัวขับให้รุดหน้าไปได้อย่างใจนึก ก็เพราะบริษัทฯ ตัวขับขึ้นเองทั้งหมด ไม่ได้สั่งสเปคฯจากโรงงานมือปืนรับจ้างทั่วไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่วอยซ์คอลล์จนถึงการขึ้นรูปลำโพงทั้งหมดเป็นที่สุด
เช่นนี้แล้ว ก็เป็นการง่ายที่จะปรับจูนคุณภาพลำโพงในภาพรวมออกได้ตามจินตนาการ เพราะความสำคัญส่วนหนึ่ง อยู่ที่การตอบสนองของตัวขับ เมื่อกำหนดสัดส่วนการตอบสนองความถี่หลักๆ ไว้ที่ตัวขับ การปรับแต่งจุดตัดก็ลดกระบวนการลงได้มาก แน่นอนว่ากรรมวิธีนี้ จะถึงพร้อมซึ่งคุณภาพประสิทธิภาพได้อย่างเพียงพอ และง่ายต่อการควบคุมคุณภาพทั้งหมดในการออกแบบขั้นตอนท้ายสุด
Triangle Antal 202 ตอบสนองความถี่ตลอดย่านออดิโอ 50-20,000 เฮิร์ตซ (+/- 3 ดีบี เฮิร์ตซ-กิโลเฮิร์ตซ) รับกำลังขับต่อเนื่องได้ถึง 120 วัตต์และ 240 วัตต์สำหรับกำลังสวิง ความต้านทานปกติที่ 8 โอห์ม มีความไว้ที่ 91 ดีบี แบ่งจุดตัดความถี่ไว้สองจุดคือโรลล์ออฟย่านต่ำที่ 800 เฮิร์ตซ และตัดย่านสูงไว้ที่ 5 กิโลเฮิร์ตซ
Triangle Antal 202 จัดจำหน่ายโดยบริษัท ออดิโอคอมกรุ๊ป จำกัด
ราคา 75,000 บาทต่อคู่ (เมษายน 2545)

               ประวัติและวิวัฒนาการของเครื่องถ่ายเอกสาร (Copying Machine) 

       เครื่องถ่ายเอกสาร (copying Machine) วิวัฒนาการมาจากกล้องถ่ายภาพ 
ซึ่งผู้คิดค้นได้พยายามรบรวมขั้นตอนวิธีการถ่ายภาพมาดัดแปลงให้มาอยู่ในเครื่องเดียวกัน
ในระยะแรก ๆ เครื่องถ่ายเอกสารจะมีลักษณะเป็นเครื่องทำสำเนาเอกสารขนาดเล็ก 
เรียกว่า Photocopy หรือ Photostat ถ่ายสำเนาได้ครั้งล่ะ 1 แผ่น เป็นระบบ Dual Spectrum 
และเป็นชนิดเติมน้ำยา วิธีการใช้งานค่อนข้างยุ่งยาก และใช้ถ่ายรูปทุกประการ 
โดยต้อนฉบับแต่ละแผ่นจะถ่ายสำเนาได้ครั้งละ 1 แผ่นเท่านั้น นอกจากนี้ 
จะต้องใช้กระดาษเครื่องผ่านแสงไฟเพื่อให้ภาพ Negative นำเข้าเครื่องผ่านน้ำยาอีกครั้งหนึ่ง
จึงลอกแผ่น Negative ออก ก็จะได้เอกสารที่ถ่ายสำเนาออกมา อย่างไรก็ตาม 
เครื่องถ่ายเอกสารแบบ Dual Spectrum นี้ประสิทธิภาพในการถ่ายสำเนาเอกสารไม่คมชัดนัก 
ต่อมาในปี ค.ศ. 1959 นักกฎหมายชาวอเมริกันชื่อ Chester Carlson 
ได้คิดค้นและพัฒนาระบบเครื่องถ่ายเอกสารจนสำเร็จ สามารถถ่ายเอกสารได้ครั้งละหลาย ๆ แผ่น 
โดยนำระบบ Copyflo มาใช้งาน ซึ่งใช้งานง่ายและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ในปัจจุบันเครื่องถ่ายเอกสาร
ชนิดเติมน้ำยานี้ไม่ได้รับความนิยม และไม่มีการผลิตจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว 
   
       ปัจจบันเครื่องถ่ายเอกสารที่ใช้ในสำนักงานโดยทั่วไป เป็นเครื่องถ่ายเอกสารระบบอัตโนมัติ 
(Electrostatic Copying Machine) เป็นชนิดใช้ผงหมึก (Toner) ชนิดเดียวเท่านั้น 
สำเนาภาพที่ได้จากเครื่องถ่ายเอกสารด้วยผงหมึกนี้ภาพจะคมชัดและแห้งสนิท 
       ต้นทุนการผลิตชิ้นงานค่อนข้างต่ำแต่ประสิทธิภาพในการใช้งานสูง  สามารถถ่ายเอกสารได้เป็น
จำนวนมาก โดยใช้มือหรือจะใช้ถาดป้อนกระดาษก็ทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว  และยังสามารถ
แทรกงานด่วนในขณะถ่ายเอกสารอื่นอยู่ได้ มีทั้งระบบย่อ  ขยายและซูมภาพได้  นอกจากนี้ยังมี
เครื่องถ่ายเอกสารที่กลับหน้าเองอัตโนมัติ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการใหม่ของเครื่องถ่ายเอกสาร โดยใช้
กับระบบกระดาษธรรมดาแต่ใช้ผงหมึกแบบแมกนิไฟน์โฟรเซส ที่ให้ความละเอียดแก่สำเนาที่
ถ่ายเอกสารมากกว่า คุณสมบัติต่างๆ ของเครื่องถ่ายเอกสารนั้น บริษัทผู้ผลิตได้มีการพัฒนา
ระบบการทำงานของเครื่องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากที่สุด ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนี้
 เป็นคุณสมบัติที่ไม่ตายตัว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบริษัทแต่ละ
 
ประเภทของเครื่องพิมพ์
เครื่องพิมพ์ (Computer printer) คืออุปกรณ์ที่จะแปลการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ออกมาในรูปแบบกระดาษ ทั้งรูปภาพและอักษร เครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot-matrix printer)
เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ การทำงานของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้คือจะใช้การสร้างจุดลงบนกระดาษ ซึ่งหัวพิมพ์จะมีลักษณะเป็นหัวเข็ม เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งตามรูปประกอบนั้นๆ จะยื่นออกมามากกว่าหัวอื่นๆ และกระแทกกับผ้าหมึกลง กระดาษที่ใช้ พิมพ์ จะทำให้เกิดจุดมากมายประกอบกันเป็นรูปเกิดขึ้นมา เครื่องพิมพ์ประเภทนี้เป็นที่นิยมกันอย่างมากเพราะมีราคาถูกและคุณภาพเหมาะ สมกับราคา แต่ข้อเสียคือเวลาสั่งพิมพ์จะเกิดเสียดังพอสมควร
เครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ ในปัจจุบันส่วนใหญ่ นิยมใช้กันมี 2 แบบ
  1. เครื่องพิมพ์แบบ 9 เข็ม
  2. เครื่องพิมพ์แบบ 24 เข็ม


 เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Inkjet printers)
เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก หรือ เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต (Inkjet Printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ทำงานโดยการพ่นหมึกออกมาเป็นหยดเล็กๆ ลงบนกระดาษ เมื่อต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใดๆ เครื่องพิมพ์จะทำการพ่นหมึกออกตามแต่ละจุดในตำแหน่งที่เครื่องประมวลผลไว้ อย่างแม่นยำ ตามความต้องการของเรา ซึ่งเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะมีคุณภาพดีกว่าเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์ โดยรูปที่มีความซับซ้อนมากๆเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ชัดเจนและคมชัดกว่าแบบดอตแมทริกซ์

 

เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser printer)
 เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสาร คือยิงเลเซอร์ไปสร้างภาพบนกระดาษในการสร้างรูปภาพ หรือตัวอักษร ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาจะมีคุณภาพสูงมาก และราคาเครื่องพิมพ์ก็มีราคาสูงมากด้วยเช่นกัน ซึ่งเครื่องพิมพ์เลเซอร์จะทำงานได้เร็วกว่าเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก และคุณภาพของผลลัพธ์ทั้งด้านความคมชัดและรายละเอียดทำออกมาได้ดีกว่าแบบพ่น หมึกมาก
 

พล็อตเตอร์ (Plotter)
พล็อตเตอร์ (Plotter) เป็นเครื่องพิมพ์แบบที่ใช้ปากกาใน การเขียนข้อมูลลงบนกระดาษ ซึ่งเครื่องพิมพ์ประเภทนี้เหมาะกับงานเขียนแบบของวิศวกรและสถาปนิก และเครื่องพิมพ์ประเภทนี้มีราคาแพงที่สุดในเครื่องพิมพ์ประเภทต่างๆ

 
 อ้างอิง : http://www.audio-teams.com/aureview/speaker/TriangleAntal202/1.shtml
             http://sara-deed.blogspot.com/2011/08/led.html
             http://www.qghservice.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1277213